โมร็อกโก หากการเดินทางใน ในประเทศนี้ ไม่จ้องเร่งรีบ เรายังสามารถสัมผัสกับอีกหนึ่งแสงแรกของวันใหม่ จากพระอาทิตย์ดวงเดิม ที่โบกมือลาเราไม่เมื่อค่ำวาน แสงระเรื่อ จากหน้าแค้มป์กลางทะเลทรายของฉัน สาดกระทบผืนทราย เป็นประกายระยิบระยับ ฉันที่นั่งมองอยู่บนเนินทรายสูง ไม่ห่างจากแค้มป์นัก พร้อมกับกองคาราวาน และฝูงชนมากมาย ที่เดินทางมาจากทั่วทุกมุมมโลก ที่พลาดโอกาศชมแสงสุดท้ายของเมื่อวาน ต่างเฝ้าแสงแรกนี้ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่สถานที่ต่อไป
โมร็อกโก เป็นประเทศหนึ่งในทวีปแอฟริกาที่อยู่ใกล้กับทวีปยุโรปมากที่สุด โดยมีช่องแคบยิบรอลต้าเป็นจุดแบ่งแยกระหว่างสองทวีป โดยมีระยะทางเชื่อมต่อกับประเทศสเปน เพียง 14 กม. เท่านั้น การที่ประเทศโมร็อกโก มีอาณาเขตใกล้ชิดกับทวีปยุโรป และในอดีตเคยตกอยู่ภายในการดูแลของประเทศฝรั่งเศส ในยุคล่าอาณานิคม การรับเอาวัฒนธรรมตะวันตก สู่วัฒนธรรมอาหรับหรือวัฒนธรรมอิสลาม จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ทำให้บางสิ่ง เกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ที่หาได้ที่ “โมร็อกโก“เท่านั้น
ประเทศนี้ มีสถานทีท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย และมีเมืองหลายเมือง ที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่ครั้งอดีต อย่างเช่นเมือง “กาซาบล็องกา” หรือ “คาซาบลังกา” ที่แปลว่า บ้านสีขาว ในภาษาสเปน มีชื่อเสียงมาจากภาพยนต์ที่มีชื่อว่า Casablanca ที่ถูกสร้างในปีค.ศ.1942 ทั้งที่ความจริงแล้ว ภาพยนต์เรื่องนี้ไม่ได้ถูกถ่ายทำที่เมืองนี้เลย
นครสีฟ้า หรือ ” เชฟชาอูน ” เมืองเก่าแก่อีกเมืองหนึ่ง ที่เหล่าบรรดานักเดินทาง ต่างยกย่อง ให้เป็นเมืองท่องเที่ยว ห้ามพลาด หากเราได้มีโอกาศมาเที่ยวประเทศนี้ ก็เนื่องจากบ้านเรือน เกือบทั้งหมด ถนน จรอก ซอยเล็ก จะถูกทาสีด้วยสีฟ้า คราม หรือสีน้ำเงิน อันเป็นจุดดึงดูดของนักท่องเที่ยวที่รักการถ่ายภาพ มีจุดถ่ายภาพสวยๆ มีมุมถ่ายรูปมากมาย ที่นักท่องเที่ยว หรือช่างภาพ ต่างอดใจไม่ไหวที่จะบันทึกภาพเหล่านั้นไว้ รวมถึงบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยเทือกเขา ต้นไม้ ทำให้การมาพักผ่อนที่นี่ สามารถเติมเต็มพลังชีวิตที่หายไปได้มาก
นอกจาก คาซาบลังก้า และเชฟชาอูนแล้ว เมืองท่องเที่ยวต่างๆของที่นี่ก็ยังมีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเมืองหลวง อย่างกรุงราบัต แม็กเนส หรือแม้แต่ มาราเกซ เมืองโอเอซีสในอดีต ที่ตั้งอยู่เชิงเขาของเทือกเขาแอตลาส ในอดีต มาราเกซ ถูกใช้เป็นที่พักเหนื่อย ของกองคารานอูฐ ของเหล่าบรรดาพ่อค้า เกิดการซื้อขาย แลกเปลี่ยนสินค้ากันอย่างครึกครื่น ก่อนจะกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยพระราชวัง แกลเลอรี่ และค่าเฟ่ น่ารักมากมาย
รวมถึงจุดไฮไลท์สำคัญ อย่าง ตลาด Jemaa el-Fnaa ที่นับเป็นจุดรวมตัวของเหล่าบรรดานักท่องเที่ยวจากทุกชาติ ที่เดินทางมาที่นี่ เราสามรถพบสินค้าพื้นเมือง อาหาร เครื่องดื่ม หรือแม้แต่การแสดงโชว์ต่างๆ โดยรอบ หากเราเหน็ดเหนื่อยกับการเดินชมสินค้า หรือการแสดงต่างๆแล้ว เราก็ยังสามารถหาคาเฟ่ที่ตั้งเรียงรายอยู่โดยรอบ หรือตามซอกหลืบต่างๆของตบาก พักดื่มเครื่องดื่มเย็นๆดับกระหาย ก่อนออกไปสนุกสนานอีกครั้ง
หากจะกล่าวถึงเมืองสำคัญๆ ในประเทศนี้ คงอดที่จะกล่าวถึงเมืองเฟซ เสียมิได้ เมืองเฟซ เป็น 1 ใน 4 ของเมืองสำคัญ ที่ได้รับการขนานนามว่าเมืองแห่งจักพรรดิ ( Imperial City ) ด้วยสาเหตุที่เมืองเฟซ ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศนั่นเอง
เมื่อย้อนเวลากลับไป อดีตกาลเมืองเฟซถือว่าเป็นเมืองโบราณ หรือเมืองที่มีความเก่าแก่มากที่สุดของประเทศ นับจากที่มีการปกครองในสมัยของราชวงศ์ “อิดริส” ซึ่งเป็นราชวงศ์แรกที่ปกครองประเทศ ราวปี ค.ส. 789 โดยสุลต่าน โมเล อิดริสที่ 1 ได้สร้างเมืองเฟซขึ้นมาทางด้านขวาของแม่น้ำเฟซ เนื่องจากแม่น้ำเฟซ เป็นแม่น้ำสายที่ไหลผ่านกลางเมืองในขณะนั้น ต่อมา โมเลอิดริสที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรชาย ภายหลังได้ขึ้นครองราชย์ ก็ได้สร้างเฟซขึ้นมาอีกทางด้านของแม่น้ำ โดยทั้งสองด้าน ต่างก็มีกำแพงล้อมรอบเป็นของตนเอง เมื่อเข้าสู่ราชวงศ์อัลโมราวิด หรือราชวงศ์ที่สองที่ปกครองประเทศ ในช่วงราว ศตวรรษที่ 11 จึงได้มีการรวบเมืองเฟซเข้าด้วยกันทั้งสองฝั่ง ภายใต้กำแพงเดียวกัน เมืองเฟซได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนเข้าสู่ช่วงราชวงศ์อัลโมฮิด ราชวงศ์ที่ 3 การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนก็คือการพัฒนาเมืองเฟซไปสู่เมืองแห่งการศึกษา และเป็นศูนย์กลางทางด้านศาสนา และวัฒนธรรม โดยในยุคสมัยต่อมาในช่วงของการปกครองของราชวงศ์ เมรนิด เมืองเฟซมีการประดับประดาบ้านเรือนต่างๆด้วยลายสลัก หรือลายปูนปั้นเป็นอักษรภาษาอาหรับ ที่คัดมาจากอัลกุรอ่าน ซึ่งยังคงหลงเหลือร่องรอยให้เราได้เห็นตามข้างทางจนถึงปัจจุบันนี้
ปัจจุบันเมืองเฟซถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง คือเมืองเก่า และใหม่ หากเราต้องการที่จะสัมผัสกับบรรยากาศและเรื่องราวเก่าๆแล้วหละก็ ฉันคงขอแนะนำให้เราใช้เวลากับทางฝั่งเมืองเก่าเสียให้มาก ลองเดินลัดไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ และเราก็จะได้เห็นถึงวิถีชีวิตเดิมๆที่เรียบง่ายของชาวเมืองเฟซ สิ่งหนึ่งที่อยากจะเตือนๆกันไว้สำหรับนักท่องเที่ยวก็คือการถ่ายรูป อย่าถ่ายรูปบุคคลโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะการถ่ายรูปสตรีเพศ เนื่องจากสตรีมุสลิม มีข้อห้ามในเรื่องของหลักการศาสนาอิสลาม และถือเป็นสิ่งไม่ดีหากจะเปิดเผยใบหน้าแก่บุรุษต่างเพศ และคนไม่คุ้นเคย
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเตือนกันไว้ก็คือ การจำทางเดิน เนื่องจากเมืองเฟซ โดยเฉพาะเขตเมืองเก่า จะมีแต่ตรอกซอกซอยมากมาย จนมีคนขนานนามว่าเมืองแห่ง 9,000 ซอย ดังนั้นโอกาสที่นักเดินทางจะหลงคงไม่ใช่เรื่องแปลก
นอกจากนี้แล้วเมืองเฟซ ยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องของ หนังสัตว์ ดังนั้นใครที่ชอบงานหนัง เช่นรองเท้า หรือกระเป๋า คงไม่พลาด ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีสินค้าต่างๆที่ทำจากหนังสัตว์ไม่ว่าจะเป็น หนังลูกวัว หนังวัว หนังอูฐ แต่บางทีการออกแบบหรือการดีไซน์ก็อาจจะยังไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมืองอย่างเรา
อีกสิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาที่เมืองเฟซ และจะพลาดเสียไม่ได้กับการไปดูบ่อฟอกหนังที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งตั้งอยู่กลางชุมชนเมืองเฟซ บ่อฟอกหนังแห่งนี้ยังคงใช้กระบวนการเดิมในการผลิต นับตั้งแต่กระบวนการการฟอกหนังในบ่อ การย้อมสี และกระบวนการอื่นๆ นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่เราควรทราบอีกประการก็คือ เมืองเฟซ มีมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอยู่ในเมืองนี้ ซึ่งก็คือ มหาวิทยาลัยไครอวีน ( Kairaouine University ) โดยส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเป็นมัสยิดหรือสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม
ปัจจุบัน การเดินทางมาประเทศโมร็อกโก ไม่ใช่เรื่องยาก มีสายการบินมากมายให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นสายการบิน เอมิเรตแอร์ไลน์ การ์ต้าแอร์เวย์ หรือสายการบินเอทิฮัดแอร์เวย์ ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากการบริการบนเครื่องที่ครบครัน และสะดวกสบาย ทำให้การเดินทางกว่า 10 ชั่วโมงของเราไม่ดูน่าเบื่อหน่ายมากนัก
สำหรับฉันแล้ว โมร็อกโก ก็นับเป็นหนึ่งในลิสต์ประเทศที่ฉันหวังว่าจะได้ไปซักครั้งในชีวิต และหวังว่าหากมีโอกาส ก็จะได้เดินทางไปสัมผัสอ้อมกอกของซาฮาร่าอีกซักครั้ง ให้หายคิดถึง
เขียนโดย ลุงหนีเที่ยว