แคชเมียร์ เป็น รัฐหรือแคว้นหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ประกอบด้วยเมือง 3 เมืองสำคัญคือ จัมมู ลาดัค และศรีนาคา การเดินทางในปัจจุบันไม่ค่อยลำบากเท่าไหร่ มีหลายสายการบินจากประเทศไทย บินสู่สนามบินอินธิราคานที สนามบินหลักของประเทศอินเดีย และเลือกใช้บริการสายการบินภายในประเทศ บินต่อยังสนามบินเมืองจัมมู
สำหรับนักเดินทาง ชาวไทย ปัจจุบันมีระบบ e-visa ไว้อำนวยความสะดวก ทำให้การขอวีซ่ามีความรวดเร็วและง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก
แคว้น แคชเมียร์ เป็นพื้นที่อ่อนไหวทางการเมือง และเกิดเหตุการณ์ต่างๆมากมายตามที่เราทราบข่าวกันอยู่เรื่อยๆ จึงไม่แปลกเลย หากเราจะพบการตรวจเข้มตั้งแต่สนามบินจัมมู ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือพบทหารมากมายตามเส้นทางท่องเที่ยว แต่ก็ใช่ว่า มันจะทำให้สเน่ห์แห่งเมืองนี้ ถดถ่อยลง
ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงเดินทางมาที่นี่ ทั้งชาวเอเชีย ยุโรป หรือแม้แต่คนอินเดียเองก็ตาม คนที่นี่ผิวพรรณขาว ตาโต จมูกโด่ง ผู้ชายก็หล่อเหลา หญิงสาวก็สวยงาม คนไทยนิยมเรียกกันว่า แขกขาวหรือจะเรียกให้ถูกก็คือ ชาวแคชมีรี่ ส่วนใหญ่เป็นคนดี อ่อนโยน และเป็นมิตรกับทุกคน นั่นไม่ใช่เพราะผู้เขียนได้มีโอกาสมาเที่ยวที่นี่เท่านั้นหรอก แต่ผู้เขียนเองได้มีโอกาสมาเรียนที่ประเทศอินเดีย 2 ปี มีเพื่อนๆร่วมห้องที่เป็นคนอินเดีย มาจากหลายๆแคว้น และหนึ่งในเพื่อนชาวแคชมีรี่ ถูกจัดอยู่ในหมวดของ เพื่อนที่ดี เป็นกัลยานิมิตรน่าประทับใจ
แคช-เมียร์ เที่ยวได้ตลอดทั้งปีมั้ย จริงๆมันก็เที่ยวได้ตลอดจากคำบอกเล่าของเพื่อนชาวแคชมีรี่เพียงแต่จะเป็นช่วงที่นิยม หรือไม่นิยมก็เท่านั้น และจากคำบอกเล่า ไม่แนะนำให้เที่ยวในช่วงที่มีหิมะตก คือช่วง ธันวาคม – มีนาคม ด้วยสภาพอากาศที่ค่อนข้างแย่ หนาวจัด หิมะตกหนัก ทำให้การเดินทางสัญจรค่อนข้างลำบาก และอันตรายมาก การพบหิมะถล่มจึงเป็นเรื่องที่ชินตาของพวกเขา ในขณะที่ ชาวแคชเมียร์เองก็จะใช้ช่วงเวลานี้อยู่แต่ในบ้านเสียส่วนใหญ่
ส่วนใครที่คิดว่าอยากเห็นหิมะก็ต้องมาช่วงหิมะตกซิ มันก็จริง แต่ท่ามันอันตราย เราก็ไม่ควรต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงมั้ย ต่อให้มันเป็นสวรรค์บนดินก็เถอะ
แคว้นแคช-เมียร์มีหิมะตลอดทั้งปี โดยเฉพาะตามยอดเขาสูง ซึ่งเป็นแนวเขาหิมาลัยอันกว้างใหญ่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ แคว้นแคช-เมียร์ จะมีลานสกีที่มีชื่อเสียง ที่กุลมาร์ค และโซนามาร์ค อีกทั้งยังเป็นที่นิยมของคนอินเดียที่หนีร้อน มาพักผ่อนกันเป็นครอบครัว ในช่วงฤดูร้อน ที่ร้อนมากกว่าประเทศไทยหลายเท่า
การมาเที่ยวแคว้นแคช-เมียร์ หลายๆคนคงนึกถึง “บ้านเรือ” ที่ศรีนาคาซึ่งนับเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางการท่องเที่ยวของเมืองนี้ อันเป็นผลพวงมาจากการที่อังกฤษ เคยเข้ามาปกครองที่นี่ ในช่วงที่อินเดียตกเป็นเมืองขึ้น แต่ด้วยกฏหมายของอินเดียที่ไม่ให้กรรมสิทธิคนต่างชาติในการยึดครองที่ดินได้ พวกเขาเลยสร้างเรือเพื่อเป็นที่พักอาศัยและตกแต่งมันอย่างสวยงาม ครั้งเมื่ออังกฤษถอยออกไปจากเมืองนี้ ก็ได้ทิ้งบ้านเรือนี้ไว้ และมันได้กลับกลายมาเป็นสัญลักษณ์ทางการท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองนี้ในเวลาต่อมา
การท่องเที่ยวในศรีนาคา นอกจากการพักผ่อน ถ่ายรูปกับบรรยากาศสุดชิล ภายในบ้านเรือแล้ว หากมีโอกาศ ต้องลองนั่งเรือชมบรรยากาศ โดยรอบ โดยใช้บริการเรือ “ชิคารา” เป็นเรือพายโบราณ และเป็นพาหนะสำหรับทำมาหากินของชาวแคชเมีรี่ที่มีบ้านเรือนอยู่ริมน้ำ ที่สำคัญใบพายเป็นรูปหัวใจ
นอกจากนี้แล้ว เรายังสามารถเดินช้อปปิ้ง เลือกซื้อสินค้า พื้นเมือง ที่ตั้งอยู่โดยรอบ จามามัสยิด ซึ่งเป็นมัสยิดกลางของเมืองศรีนาคา หากเราเดินทางในช่วง เมษายน ซึ่งเป็นช่วงผลัดฤดูเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ การได้เดินชมดอกไม้ พรรณไม้ ตามสวนดอกไม้ต่างๆ โดยเฉพาะ ทุ่งดอกทิวลิป และต้นเมเปิลอายุกว่า 400 ปี ภายในสวนนิชาท
หากมีเวลาเหลือ อย่าลืมที่จะแวะชมการจัดสวนสไตล์โมกุล ณ “ชาลิมาร์” ซึ่งเป็นสวนดอกไม้ที่สร้างขึ้นในสมัยโมกุล เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระนาง Nur Jehan สตรีอันเป็นที่รักของจักพรรดิ Jehangir
ไม่ไกลจากเมืองศรีนาคา การเดินทางไปที่ โซนามาร์ค ประมาณ 80 กิโล โดยรถ 4WD โตโยต้า อินโนว่า คันละ 4 คน ตลอดทริปที่เราอยู่ที่แคว้นนี้นี้ ระหว่างทาง พื้นอาจจะนองด้วยนำ้ เฉอะแฉะอยู่บ้างในบางจุด ก็เพราะหิมะบางส่วนเริ่มละลาย ระหว่าทาง เราจะได้เห็นเทือกเขาหิมาลัย ที่ยังคงมีหิมะปกคลุมอยู่ขาวโพลนอยู่บนยอดเขา เรียงทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา ตัดกับพื้นนา พื้นที่โล่งกว้างที่ถูกปกคลุมไปด้วยดอกมัสตัส สีเหลื่องอร่าง แนวทิวสน และต้นไม้ต้นใหญ่ มีให้เห็นอยู่ตลอดสองข้างทาง เห็นวิถีชีวิตผู้คนสัญจรไปมา ร้านรวงต่างๆเปิดขายของ ทั้งสินค้าพื้นเมือง ของที่ระลึก และสินค้าปัจจัยยังชีพต่างๆ เห็นฝูงลา ฝูงม้า ฝูงแพะแกะ ถูกต้อนออกหากิน ตามท้องทุ่งท้องนา เล็มหญ้าสีเขียวต้นเล็กต้นน้อยรายทาง หมดจากที่หนึ่ง ก็ไปอีกทีหนึ่ง แม้เส้นทางจะขรุขระ หรือวกวนชวนปวดหัวและเมารถอยู่บ้าง แต่เราก็อิ่มเอิบกับภาพสองข้างทางที่ได้มองเห็นเสมอ…
ระหว่างทางจุดพักรถ ..เราได้มีโอกาสได้แวะดื่มชาร้อนๆใส่น้ำผึ้ง ผสมกับผงอัลมอลหอมๆ มันช่างละมุนลิ้นสัมผัสยิ่งนักในเวลาแบบนี้ อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ นั่นเพราะเราใกล้ถึงจุดหมายแรกของเราแล้ว..โซนามาร์ค
ตามที่ได้เคยกล่าวไว้ ว่า”โซนามาร์ค”เป็นเมืองเล็กๆรายล้อมด้วยภูเขาและลำธาร นักเดินทางส่วนใหญ่ที่เดินทางมาที่นี่ นอกจากเพื่อการพักผ่อนแล้ว สถานที่แห่งนี้เหมาะสำหรับการไต่เขา และกิจกรรมแอดเวนเจอร์ต่าง เราพักอยู่ที่เมืองนี้หนึ่งคืน ด้านหลังของหมู่บ้านมีลำธารทอดผ่าน จากคำบอกเล่าของคนในหมู่บ้าน เราจึงถือโอกาสที่เหลือน้อยนิดก่อนที่พระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า เดินไปที่ลำธารหลังหมู่บ้าน เด็กๆที่นี่ตื่นเต้นกับพวกเรามาก นั่นเพราะพวกเราเป็นคนแปลกหน้าหรือนักท่องเที่ยวใช่มั้ย แอบคิดในใจแบบนั้น……
หลังจากแช๊ะภาพกันอย่างอิ่มหนำแล้ว ก็คงไม่พลาดที่จะเก็บภาพรวมกับเจ้าบ้านที่นี่ ซึ่งเป็นกลุ่มเด็กน้อยๆที่ตามเรามาแต่แรก เด็กทุกคนน่ารักและอัธยาสัยดี เป็นมิตรกว่าที่เราคิดแฮะ ..ด้วยความเอ็นดูก็เลยให้สินน้ำใจเป็นเงินเล็กๆน้อยๆ..ใครจะคิดหละว่าภายหลังจะตามเพื่อนมาเป็นโขยงเพื่ถ่ายรูปกับพวกเรา ไอ้เราหนะรึ เห็นท่าไม่ดีรีบเดินกลับที่พักเลย..ไม่ใช่อะไรหรอกนะ กระเป๋าตังมแฟ๊บ..คิดแล้วแอบขำ …
หลังจากทานอาหารค่ำ ก็ถึงเวลาพักผ่อนเก็บแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้..ถึงอากาศจะเย็นแต่ก็รู้สึกอบอุ่นใจบอกไม่ถูก.. และคืนนี้ได้หลับสนิทภายใต้อ้อมกอดของหิมาลัยอีกครั้ง..
เขียนโดย ลุงหนีเที่ยว